เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ เม.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระวันทำบุญนะ วันทำบุญทำกุศล เราเข้าใจตามประสาเราว่าบุญกุศลการให้ทานคือการสละออก การสละออกเป็นวัตถุสิ่งที่ว่าให้ได้ง่ายๆ เพราะการสละออกนี้เป็นวัตถุ เราให้ทานออกไป ผู้ที่ให้เป็นผู้ที่มีโอกาสให้กับผู้ที่รับ ผู้รับเขาได้สิ่งที่เราให้ไปแล้วดำรงชีวิตอยู่ของเขา เขาได้สิ่งที่ว่าเราให้ไปเขามีความสุขของเขา นั่นคือความสุขของเขา เราให้ความสุขกับเขานั่นเป็นเรื่องสิ่งที่ให้จากภายนอก

แต่การให้จากภายใน ไม่มีใครสามารถจะให้จากภายในได้ ถ้าข้างนอกก็ดี ข้างในก็ดี ดีแต่ข้างนอกแต่ข้างในไม่ดีข้างในทุจริตมันก็ไม่สวยงาม แต่ถ้าข้างในดี ข้างนอกมันเป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องของวิบากกรรม มันก็เป็นสภาวะแบบนั้นไป ดูสิ เราตีตาด เรากวาดวัดไป เมื่อวานเขามาทำบุญกันนะ เขาเห็นเขาตกใจนะ ทำไมเราต้องกวาดด้วย ทำไมเราต้องลงมาทำด้วย โลกเขามองกันอย่างนั้น โลกว่าคนที่มีศักยภาพต้องเป็นคนสะดวกสบายไง คนที่สะดวกสบาย เห็นไหม ถ้าข้างในมันดี ความสะดวกสบายนี่ความเสมอกัน

ในสมัยพุทธกาล พระที่มาบวชมาจากต่างๆ กัน กษัตริย์ก็มี ยาจกเข็ญใจก็มี แต่ถ้าบวชแล้วศีล ๒๒๗ เท่ากัน สิ่งที่เสมอกันโดยศีล ทิฏฐิเสมอกัน ศีลเสมอกัน สังคมสงฆ์นั้นจะอยู่ด้วยความสุขมาก เพราะมีความเห็นเสมอกันความเห็นคล้ายๆ กัน จะให้เสมอกันมันเป็นไปได้ยาก เพราะอะไร? เพราะความเห็นแตกต่าง เวลาภาวนาเข้าไปจริตนิสัยคนจะไม่เหมือนกัน ความเห็นอันไหนไม่เหมือนกัน เห็นไหม

ทิฏฐิมีความเห็นต่างกัน นานาสังวาสเกิดจากตรงนี้ไง เกิดจากว่าอันนี้ก็ของเล็กน้อย อันนี้ก็ของเล็กน้อย พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งที่เล็กน้อยให้แก้ไขได้ ให้ลบล้างได้สิ่งที่เล็กน้อยให้ยกเลิกได้ ยกเลิกตรงไหน? คำว่าเล็กน้อย เล็กน้อยของคนที่ว่าเขาเป็นผู้ดี ความเล็กน้อยของเขา แต่คนอื่นเขามองว่าเป็นของที่ว่ามันเป็นความหนักหนาสาหัสสากรรจ์ ผู้ที่หยาบก็ว่าของนี้เป็นของเล็กน้อย ผู้ที่ว่าละเอียดอ่อนก็ว่านี่เป็นของใหญ่ สิ่งนี้มันจะไปเล็กน้อยตรงไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะ พุทธกิจ ๕ เช้าขึ้นมาเล็งญาณ เล็งญาณว่าสัตว์ตัวไหนควรจะโปรดก่อน องคุลีมาลกำลังจะฆ่าแม่อยู่เลย เพราะอะไร? เพราะองคุลีมาล อาจารย์บอกว่าให้ตัดนิ้วคนมา ๑,๐๐๐ นิ้วแล้วจะให้วิชา ด้วยความอยากได้ ใจที่ว่าความอยากได้วิชาการ เป็นคนดีอยู่ แต่ว่าหวัง นี่ความเห็นผิด ผิดว่าอยากได้วิชาการแต่ต้องเอาสิ่งนี้ไปแลก แล้วเวลาคนอยากได้มาก แม่ว่ากษัตริย์เขาจะมาจับไง ห่วงมากจะมาห้ามลูก ถ้ามาห้ามลูกวันนั้น ด้วยความเห็นของเขาความเห็นผิด แบบว่าประสาโลกว่าคนหน้ามืด เขาจะทำลายแม่ของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณไป องคุลีมาลเป็นผู้ที่มีนิสัย องคุลีมาลเป็นผู้ที่เข้าถึงธรรมได้ แต่เขาจะหมดโอกาส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช้าขึ้นมาเล็งญาณก่อน ต้องไปโปรดคนนั้นก่อน โปรดคนที่ว่าคนที่จะเข้าสิ่งว่าจะทำความผิดพลาดอันนั้นไป ไปโปรดอย่างนั้น เช้าออกบิณฑบาต เล็งญาณแล้วออกบิณฑบาต บิณฑบาตจนวันตายนะ วันสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตกับนายจุนทะ นายจุนทะถวายอาหารมื้อสุดท้าย

เห็นไหม ทานสองคราว คราวหนึ่งคือนางสุชาดาถวายนั้นเป็นบุญอย่างมหาศาล เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” อีกคราวหนึ่งคือนายจุนทะถวายทานครั้งหนึ่ง “ถึงซึ่งขันธนิพพาน” ขันธ์ ธาตุขันธ์ที่มีอยู่นิพพาน เวลานางสุชาดา กิเลสนิพานคือกิเลสออกไปจากใจ นายจุนทะ เห็นไหม มื้อสุดท้ายก็ยังออกไปบิณฑบาต นี่งานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีธรรมในหัวใจ

การประพฤติปฏิบัติความเสมอกัน ความเสมอกันเป็นชีวิตแบบอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชีวิตแบบอย่าง มีความนิ่มนวลมาก ความละมุนละไมมาก แต่พระสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน อย่างเช่นพระสารีบุตรกระโดดข้ามคลองๆ แม้แต่พระอัครสาวกเบื้องขวาก็ยังไม่สามารถจะแก้จริตนิสัยของตัวเองได้ แต่แก้กิเลสนิพพานได้ กิเลสต้องสิ้นไปจากใจถึงจะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน นี้คืออำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล นี่เรื่องของโลกกับเรื่องของธรรม

ถ้าเรื่องของโลกเราจะมองเรื่องของโลกนะ ว่าเราจะต้องมีคนอุปัฏฐากคนอุปถัมภ์ มันความเป็นไป นี่เรื่องของกิเลส สิ่งที่กิเลส เห็นไหม กิเลสอยากมีอำนาจ กิเลสอยากอยู่บนหัวคน กิเลสต้องการให้คนนับหน้าถือตา แต่เรื่องอย่างนั้นเป็นเรื่องความภาระรุงรังทั้งหมดเลย พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ตรัสรู้ธรรมแล้วเข้าป่าเลยไม่สนใจกับใครทั้งสิ้น อยู่แต่ในป่า ผู้ที่ว่าอำนาจวาสนาเป็นแบบนั้น พระสารีบุตรเป็นธรรมเสนาบดี เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เป็นผู้ที่เผยแพร่ศาสนามาก แล้วแต่จริตนิสัยของผู้ที่สร้างสมมา โลกของเขาเขาคิดว่าต้องเป็นสภาวะแบบนั้น

แต่เรื่องของสภาวธรรมนะ ของข้างในใจนี้ให้ดีที่สุด ถ้าใจดีทุกอย่างจะดีที่สุด เพราะอะไร? เพราะคนกระทำสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากความคิดของคน คนนี่เกิดจากความคิด คิดก่อนถึงได้กระทำ เวลาเราคิดแล้วเราค่อยออกมากายกรรม มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม ออกมาเป็นการกระทำทั้งหมด ถ้าใจดวงนั้นผ่องแผ้ว ใจดวงนั้นไม่เป็นอกุศลนะ ใจดวงนั้นจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง สิ่งที่ออกมาจากใจดวงนั้นจะเป็นประโยชน์ทั้งหมด เพียงแต่เราเข้าไม่ถึงไง เราเข้าไม่ถึงธรรม สิ่งนั้นจะเป็นธรรมไหม? สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ไหม? เรามองเห็นสภาวะแบบนั้น

เรามองเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คือ ความพอใจของเรา ถ้าเราพอใจของเรา เราได้ประโยชน์ของเรา เราว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ แต่ความว่าขัดใจเราสิ่งนั้นเป็นขัดกิเลส ความขัดใจเรา สิ่งที่ความละเอียดอ่อนเราเข้าไม่ถึง เราเข้าไม่ถึงสิ่งนั้น เราก็จะไม่ได้ประโยชน์กับสิ่งนั้น นี่ของอยู่ตรงหน้า งานของเราคืองานอาบเหงื่อต่างน้ำ นี้เป็นเรื่องของเรา

แต่งานของนักบวช งานของผู้ที่จะเอาชนะตนเอง เวลาความทุกข์เกิดขึ้นมาจากใจ ทุกคนก็อยากปฏิเสธ อยากต้องการให้ความทุกข์นี้หายออกไปจากใจ แต่ทุกคนก็รู้ถึงสภาวธรรมเป็น แต่ทำไม่ได้ไง รู้อยู่แต่ทำไม่ได้ๆ แต่นักบวชวันหนึ่งๆ นั่งสมาธิภาวนาเดินจงกรมภาวนา ทำอะไรนี่ เดินไปเดินมาไม่เห็นทำอะไรเลย เดินไปเดินมาเพื่อหาใจ หาพุทโธ หาผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หาตัวตนของเรา นี่ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน? ชีวิตนี้มานั่งอย่างนี้มาจากไหน? ทุกข์ที่เกิดมาจากใจมันมาแบกรับภาระอยู่ทำไม? สิ่งที่งานภายนอกมันเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเฉยๆ เลี้ยงปากเลี้ยงท้องคืออาหารของกาย ธรรมะคืออาหารของใจ สิ่งที่อาหารของใจเราจะหาคุณงามความดีอย่างนั้นได้ไหม เราอยู่ในชีวิตโลก ชีวิตคฤหัสถ์เราก็ให้ทาน เราก็ถือศีล เราก็ภาวนา เราทำสภาวะแบบนั้น

แต่ผู้นักรบ ผู้ที่สละออกมาจากสาธารณะประโยชน์ ชีวิตนี้ทำสภาวะสถานะนี้เป็นสถานะประโยชน์ สละออกหมดออกเป็นนักรบ ถือพรหมจรรย์ ถือศีล ๘ ขึ้นไป ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ขึ้นมา สละสิ่งนั้นออกมาเพื่อจะรบกับกิเลส เพื่อจะหาชีวิตของเรา เพื่อจะหาตัวตนนะ เจ้าชายสิทธัตถะเวลาออกประพฤติปฏิบัติ พระเจ้าพิมพิสารให้กองทัพครึ่งหนึ่งเพื่อจะเอาเมืองคืน “ไม่ใช่ ออกมาเพื่อประพฤติปฏิบัติหาโมกขธรรมเท่านั้น” พระเจ้าพิมพิสารบอกเลย สั่งไว้ว่าถ้าได้สิ่งนั้นมาให้กลับมาสอนด้วย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ ปี สิ่งที่ปฏิบัติพยายามค้นคว้านี่ทุกข์ทรมานขนาดไหนก็สู้อยู่ ๖ ปี ได้ธรรมสภาวะแบบนั้น กลับมาเทศน์สอนพระเจ้าพิมพิสารนะ เทศน์สอนพระเจ้าพิมพิสารจนเป็นพระโสดาบัน สิ่งที่เป็นพระโสดาบันคือจิตนี้จะไม่เวียนไปในวัฏฏะแล้ว เกิดตายอีก ๗ ชาติก็จะพ้นออกไป

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือหัวใจของเรานี่ไง หัวใจของเรา เห็นไหม เวลาพระมาบวช เอาธาตุขันธ์ของพ่อของแม่มาค้ำศาสนา สิ่งที่เป็นเรื่องของโลก โลกกับธรรมมันอยู่คู่กัน เพียงแต่ใครจะมีปัญญามากปัญญาน้อย ถ้ามีปัญญามากมันก็ได้สิ่งที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่มีคุณค่ามาก ถ้าปัญญาเราน้อยเราก็ได้สิ่งที่หยาบๆ ไป ประเพณีวัฒนธรรม เราเป็นชาวพุทธ ถ้าเรามีลูกอยากให้ได้บวชๆ เพราะธาตุของเราเข้าไปเป็นญาติกับศาสนา ธาตุของเรานะ ไข่ของมารดากับเชื้อของพ่อออกมาเป็นตัวตนของลูก แล้วเข้าไปค้ำจุนศาสนา

แต่ใจดวงนั้นล่ะ ใจดวงนั้นเป็นของผู้นั้นต่างหาก ถ้าใจดวงนั้นสามารถชำระสิ่งนี้ได้ ถ้าชำระเรื่องของใจได้บุญกุศลจะเกิดขึ้นอีกมหาศาลเลย เวลาจิตที่ว่าตายไปแล้วเวียนไปในวัฏฏะ สิ่งนี้เกิดขึ้นมานะ ดูสิ ในสมัยพุทธกาล มีพรานที่ว่าออกล่าสัตว์ตลอดไป ออกล่าสัตว์ แล้วเขามีลูกไปบวชเณร แล้วเขาจะพยายามดึงลูกเขาออกมา ดึงลูกออกมาให้มาช่วยงาน ไปตื้อลูกออกมาตลอดมา พยายามไปตามดึงลูกออกมาแล้วไม่ออกมา สุดท้ายแล้วเขาตายไป ตายไปตกในนรกนะ ตกไปในนรกเพราะเขาเป็นพราน เขาทำบาปตลอดเวลา ทำอย่างไรเขาก็เป็นไปไม่ได้ เอ็งเคยทำดีอะไร ยมบาลถามว่า

“เอ็งเคยทำบุญกุศลอะไรมา”

“ไม่เคยทำ ฆ่าแต่สัตว์ ไม่เคยทำ”

“แล้วทำไมจะให้ตกนรกมันเป็นไปไม่ได้ล่ะ”

สุดท้ายนึกขึ้นได้ อ้อ! ลูกบวชเณรๆ นี่อยู่ในธรรมบทนะ พรานคนนี้ตายแล้วฟื้น แต่เดิมนะอยากจะให้ลูกสึกตลอดเวลา แต่พอตัวเองเห็นประโยชน์ของการที่ว่าลูกมาบวชเณร พอตายฟื้นขึ้นมาลูกต้องการอะไร ให้ทั้งนั้นๆ ให้สิ่งนั้นไป

ธาตุ แม้แต่ธาตุเรื่องของโลกมาค้ำศาสนา บุญกุศลยังเป็นขนาดนั้น แล้วถ้าใจนี้ผ่องแผ้ว พยายามพลิกแพลงเข้ามาในหัวใจ ถ้าทำใจของเราให้ผ่องแผ้วได้ นั่นนะมันจะเข้าใจเรื่องของชีวิต เราลังเลสงสัยนะว่าเราเกิดมาจากไหน แล้วเราตายไปแล้วเราจะไปไหน นี่สิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจของเราทั้งหมด เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เราสะสมมาเราทำมา คุณงามความดี

ความลับไม่มีในโลก ทำดีก็คือความดี ความชั่วก็คือความชั่ว สิ่งที่กระทำในหัวใจมีอยู่ในใจเราทั้งหมด แล้วมันสะสมมาสภาวะแบบนั้น แล้วเราจะรื้อค้น เราจะทำความสะอาดบ้านของเรา ถ้าเราไม่รื้อค้นสิ่งนี้ เราจะทำความสะอาดบ้านของเราได้อย่างไร ถ้าเราจะรื้อค้นสิ่งนี้ทำความสะอาดบ้านของเรา เราจะรื้อเข้าไปในหัวใจของเราทั้งหมด สิ่งที่สะสมมากี่ภพกี่ชาติ มันถึงเป็นอำนาจวาสนาบารมี เวลาจริตนิสัยทำไปมันเป็นเรื่องของคุณงามความดี

แต่เรื่องของบาปอกุศลที่มันซ้อนเข้าไปนี่ มันจะย้อนกลับเข้าไปนะ ย้อนกลับเข้าไปเห็นว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนกลับอดีตชาติเคยเกิดเคยตายมาเป็นสภาวะแบบใด สิ่งที่เป็นยางเหนียว อันนั้นเป็นอดีตอนาคตแก้ไขสิ่งใดๆ ไม่ได้ เพียงแต่มันสร้างเป็นบุญกุศลมาให้เราเจอสภาวะสิ่งนี้ แต่ปัจจุบันธรรมนี้ ถ้าเราทำความสงบของใจเป็นสัมมาสมาธิแล้วยกวิปัสสนาได้ มันถึงมรรคครบองค์ ๘ มรรค ๘ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ความเพียรชอบ งานชอบ สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นมาจากเรา

ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา คือมรรคนี้มันเดินตัวขึ้นมา ปัญญาอันนี้เป็นปัจจุบันเราสร้างเดี๋ยวนี้จะได้เดี๋ยวนี้ เราจะไปอดีตอนาคต เรารู้อดีต รู้แต่อดีตชาติตลอดไป อันนั้นก็แก้กิเลสไม่ได้ เป็นสิ่งที่ยาวไกล เราจะไปแก้สิ่งเมื่อวานนี้ไม่ได้ เมื่อวานนี้ก็คือเมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงยังแก้ไม่ได้ ปัจจุบันนี้ เห็นไหม อริยสัจเกิดขึ้นมาในปัจจุบันนี้

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้อดีตอนาคตมันสืบต่อไป มีแน่นอน นรกสวรรค์มีแน่ธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราชำระปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้สิ้นไปสะอาดไป สิ่งนี้อยู่เก้อๆ เขินๆ อยู่กับโลกเขา โลกเขาจะเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เราจะไม่เป็นไป ถ้ามีการกระทำแบบนี้นะ หมู่คณะไง สิ่งที่เราอาศัยเขา โลกเขาก็ต้องมีการพึ่งพาอาศัยกัน การพึ่งพาอาศัยกันมันก็ยังพึ่งพาอาศัยกันตามประสาโลก มันก็ยังไม่สมหวัง

แต่พึ่งพาอาศัยในธรรม ถ้าธรรมในหัวใจแล้วมันสมหวัง สิ่งนี้เป็นปัจจุบันตลอด สิ่งที่อดีตอนาคต เราเก็บเงินไว้ เรารักษาสิ่งนั้นไว้ จะไปใช้เมื่อนั้น สิ่งนี้เราจะเก็บไว้ เมื่อนั้นจะเป็นประโยชน์ขนาดนั้น นี่เราคิดอนาคตเลย ปัจจุบันนี้เร่าร้อนต้องวิ่งเต้นหาสิ่งนั้นต่างๆ แต่ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมา ธรรมเกิดขึ้นมาในหัวใจ ปัจจุบันวันนี้ เดี๋ยวนี้สุขเดี๋ยวนี้ เข้าสมาธิเมื่อไหร่มันก็ว่างเดี๋ยวนี้ เข้ามาย้อนที่ใจมันก็สงบเดี๋ยวนี้ มันใหม่ตลอดไง มันไม่มีอดีตมันไม่มีอนาคต มันเป็นปัจจุบัน วิมุตติสุขปัจจุบันตลอด แล้วจะไม่มีสิ่งใดๆ เข้ามาเจือปนกับสิ่งนี้ในหัวใจ

ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือใจดวงนี้ ใจดวงนี้เคยเศร้าหมอง ใจดวงนี้เคยเป็นอวิชชาพาเกิดพาตายมาตลอด ปัจจุบันนี้ใจดวงนี้ผ่องใส ใจดวงนี้พ้นจากกิเลส ใจดวงนี้เป็นปัจจุบันธรรม ชีวิตนี้คือพลังงานอันนี้ไง ชีวิตนี้คืออะไรถึงจะย้อนไป แต่ถ้าเราภาวนาไม่ถึงเราก็เวียนไปในกระแสโลก ๑๐๐ ปีนะ เราดูชีวิตเรา ๑๐๐ ปีหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย แล้วก็ต้องตายไป แล้วก็ต้องเวียนไปอย่างนี้ๆ มันไม่น่าเบื่อหน่ายเหรอ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราพอใจเราก็พอใจในชีวิตของเรา ถ้าเราไม่พอใจเราก็อยากจะหาทางออก

ถ้าหาทางออกนะ นี่ทาน ศีล ภาวนา ทำความสงบของใจ ทำสมาธิขึ้นมาให้ได้ วิปัสสนาให้ได้ แล้วเกิดปัญญาญาณไปชำระ กายกับจิต สติปัฏฐาน ๔ แล้วชำระกิเลส กิเลสจะขาดออกไปจากใจ พ้นออกไปจากใจ เห็นชัดเจนว่ากิเลสขาดสังโยชน์ขาดออกไป ใจนี้หลุดออกเป็นชั้นๆ เข้าไปจนถึงอวิชชาพลิกออก ไม่มีสิ่งใดที่จะขาดออกไป เพราะเป็นตัวมันเอง ตัวมันเองถึงต้องทำลาย ตัวมันเองถึงบริสุทธิ์สะอาด

ถึงว่าชีวิตนี้สิ้นสุดขนาดนี้ ชีวิตนี้มันเป็นเรื่องของโลกเขา สิ่งนี้พ้นจากสมมุติหมด นี้เป็นวิมุตติธรรม นี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง เกิดจากสภาวธรรม ที่ไม่มีโลกไม่มีธรรม ที่ว่าเราต้องอาศัยสิ่งต่างๆ อันนี้ มันเป็นเครื่องดำเนินเครื่องทางเดินต้องอาศัยไป เราก็อาศัยไป ถึงที่สุดแล้วเรามากับรถก็ทิ้งรถ มากับเรือก็ทิ้งเรือ เรือกับรถก็ไว้กับโลกนี้ไป จิตนี้พ้นออกไปจากกิเลสทั้งหมด เป็นธรรมที่ผ่องแผ้วในหัวใจดวงนั้น เอวัง